
ถ้าให้กล่าวถึงการบริหารธุรกิจในปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวตรงๆ ว่าหมดยุคของปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว
แต่เป็นยุคของ “ปลาเร็วกินปลาช้า”
ยิ่งธุรกิจไหนมีความไวในการแข่งขันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งชนะคู่แข่งและได้เปรียบในเศรษฐกิจที่เติบโตได้ยาก หลาย ๆ ที่มีการปิดตัวลงเพราะ ไม่มีเครื่องมือมาช่วยให้ก้าวตามทันคู่แข่ง
ในบทความนี้ทางผู้เขียนจึงขอแนะนำเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารธุรกิจเพื่อให้ทันคู่แข่ง และ ประเภทซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับธุรกิจแต่ละประเภท
โดยมีซอฟต์ที่สามารถช่วยบริหารธุรกิจในปี 2025 ได้ มีดังนี้
- ซอฟต์แวร์บริหารโครงการ และงาน (Project Management & Task Management)
ซอฟต์แวร์บริหารโครงการ (Project Management) และการจัดการงาน (Task Management) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผน ติดตาม และบริหารจัดการงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยมีประโยชน์หลักๆ ดังนี้
- ช่วยในการวางแผนโครงการและจัดสรรทรัพยากร
- ปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
- ติดตามความคืบหน้าของงานและโครงการ
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดข้อผิดพลาด
- เพิ่มความโปร่งใสและช่วยในการตัดสินใจ
- รองรับการทำงานแบบ Remote และ Agile
ซอฟต์แวร์บริหารโครงการและการจัดการงานช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ทำให้ทีมทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นและช่วยให้โครงการสำเร็จตามเป้าหมาย ธุรกิจก่อสร้างก็เหมาะกับเครื่องมือประเภทนี้ หรือธุรกิจที่ต้องมีโปรเจคภายในที่ค่อนข้างเยอะก็สามารถหามาเพื่อ
2. ซอฟต์แวร์บัญชีและการเงิน (Accounting & Finance)
ซอฟต์แวร์บัญชีและการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการด้านการเงินได้อย่างเป็นระบบ ลดความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเติบโตและบริหารกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ดังนี้
- เพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาด
- ช่วยบริหารกระแสเงินสด (Cash Flow) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- จัดทำรายงานทางการเงินได้สะดวกและรวดเร็ว
- บริหารภาษีและการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
- ช่วยจัดการบัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้ (Accounts Payable & Receivable)
- เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ และรองรับการทำงานออนไลน์
- ปรับปรุงการตัดสินใจทางธุรกิจ
ซอฟต์แวร์บัญชีและการเงินช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด เพิ่มความโปร่งใส และช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและเติบโตได้อย่างมั่นคง
3. ซอฟต์แวร์ CRM (Customer Relationship Management)
ซอฟต์แวร์ CRM เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการติดตามลูกค้า เพิ่มยอดขาย และปรับปรุงการบริการให้ดียิ่งขึ้น โดยธุรกิจที่ได้ประโยชน์จาก CRM มีหลากหลายประเภท ดังนี้
- ธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ (Retail & E-Commerce)
- ธุรกิจ B2B และบริการองค์กร (B2B & Enterprise Services)
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
- ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว (Hospitality & Travel)
- ธุรกิจสายงานบริการ (Professional Services – เช่น ที่ปรึกษา กฎหมาย การแพทย์)
- ธุรกิจสตาร์ทอัพและ SME (Startups & Small Businesses)
ซอฟต์แวร์ CRM เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการติดตามลูกค้า บริหารการขาย และปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยธุรกิจที่ใช้ CRM จะสามารถเพิ่มยอดขาย ปรับปรุงการให้บริการ และสร้างความภักดีของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
4. ซอฟต์แวร์ HR และบริหารพนักงาน (Human Resource Management – HRM)
ระบบ HR เป็นระบบบริหารจัดการเงินเดือน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นระบบจัดการคน เพราะฉะนั้นธุรกิจไหนที่มีพนักงานทำงานภายในองค์กรก็ควรจะมีระบบ HR เข้ามาบริหารจัดการเงินเดือน การเข้างาน ซึ่งจะช่วยให้ HR สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น โดยมีส่วนช่วยสำคัญดังนี้
- ช่วยลดข้อผิดพลาดในการออกเงินเดือน
- ช่วยลดปริมาณงานให้กับธุรกิจที่มีจำนวนพนักงานเยอะ
- ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลการทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- เหมาะกับทุกธุรกิจที่มีจำนวนพนักงานมากกว่า 20 คน ขึ้นไป
5. ซอฟต์แวร์บริหารสต๊อกสินค้าและโลจิสติกส์ (Inventory & Supply Chain Management)
ซอฟต์แวร์บริหารสต๊อกสินค้าและโลจิสติกส์ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการสินค้า คลังสินค้า และกระบวนการซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ป้องกันสินค้าขาดหรือค้างสต๊อก และเพิ่มความรวดเร็วในการส่งสินค้า ซึ่งช่วยธุรกิจได้ดังนี้
- ติดตามปริมาณสินค้าแบบเรียลไทม์
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า
- ปรับปรุงการจัดซื้อและซัพพลายเชน
- ช่วยจัดการโลจิสติกส์และการขนส่ง
- เพิ่มความแม่นยำในการบริหารคำสั่งซื้อ
- ลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้ธุรกิจ
ซอฟต์แวร์บริหารสต๊อกสินค้าและโลจิสติกส์ช่วยธุรกิจควบคุมสินค้าคงคลัง ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในซัพพลายเชน เหมาะกับธุรกิจที่ต้องบริหารคลังสินค้า คำสั่งซื้อ และกระบวนการขนส่งอย่างเป็นระบบ
6. ซอฟต์แวร์ ERP (Enterprise Resource Planning)
ในส่วนของซอฟต์แวร์ ERP (Enterprise Resource Planning) ถือว่าเป็นสุดยอดเครื่องมือสำคัญที่รวบรวมซอฟต์แวร์ทุกข้อที่กล่าวมา ให้อยู่ในข้อมูลเดียวกัน โดยมักจะมีคำเรียกติดปากสำหรับซอฟต์แวร์ ERP นั่นก็คือ “ข้อมูลรวมศูนย์”
โดยซอฟต์แวร์ ERP จะช่วยบริหารจัดการองค์กรทั้งหมด โดยเริ่มตั้งแต่ ระบบขาย ระบบจัดซื้อ ระบบบัญชี ระบบคลังสินค้า รวมไปถึง ระบบการผลิต
และระบบ ERP ที่มีขนาดใหญ่ จะมีทั้ง ระบบ HR ระบบ CRM และยังสามารถรองรับธุรกิจที่มีการทำโปรเจคภายในได้ด้วย ซึ่งระบบ ERP มีส่วนช่วยธุรกิจทั้งหมด ดังนี้
- ช่วยรวมข้อมูลเป็นศูนย์
- สามารถเรียกรายงานแบบเรียลไทม์
- จัดการสต็อก และบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยลดต้นทุนในการผลิตจากการวิเคราะห์ต้นทุนการใช้วัตถุดิบ
- มีระบบวางแผนและควบคุมต้นทุนการผลิต
- ช่วยให้บัญชีจัดการข้อมูลได้ง่าย ไม่ต้องรอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จะเห็นได้ว่าซอฟต์แวร์ ERP จะมีความสามารถในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไรให้กับผู้ประกอบการ และยังทำให้ลดขั้นตอนการทำงานให้กับพนักงาน ซึ่งธุรกิจที่เหมาะกับระบบ ERP จะเป็นทุกประเภทธุรกิจที่ต้องการให้ระบบทั้งหมดเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
จากบทความทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าแต่ละซอฟต์แวร์จะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน โดยมี
- ซอฟต์แวร์บริหารโครงการ และงาน (Project Management & Task Management)
- ซอฟต์แวร์บัญชีและการเงิน (Accounting & Finance)
- ซอฟต์แวร์ CRM (Customer Relationship Management)
- ซอฟต์แวร์ HR และบริหารพนักงาน (Human Resource Management – HRM)
- ซอฟต์แวร์บริหารสต๊อกสินค้าและโลจิสติกส์ (Inventory & Supply Chain Management)
ซึ่งหากทางองค์กรเลือกใช้ซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น อาจจะช่วยธุรกิจในเบื้องต้นได้ แต่การทำงานจะยังไม่เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นหากท่านต้องการซอฟต์แวร์ที่ครบวงจร และมีประสิทธิภาพสูง ควรจะเลือกซอฟต์แวร์ ERP เพื่อให้ครบคลุมกับการทำงานของท่านให้มากที่สุด
ระบบ PlanetOne ERP ระบบ ERP แบบครบวงจร และครอบคลุมการทำงานให้กับผู้ประกอบการในไทย พัฒนาโดยคนไทย 100% เป็นระบบ ERP ขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็ก จนถึงธุรกิจขนาดใหญ่