การเปรียบเทียบราคาของระบบ ERP

การเปรียบเทียบราคาของระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อให้บริษัทสามารถเลือกโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนเองได้ ต่อไปนี้คือลำดับขั้นตอนที่ควรพิจารณาในการเปรียบเทียบราคาของระบบ ERP:

1. ระบุความต้องการขององค์กร

ก่อนที่จะเริ่มต้นเปรียบเทียบราคา จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าองค์กรของคุณต้องการฟังก์ชันใดจากระบบ ERP เช่น การจัดการการเงิน, การจัดการสินค้าคงคลัง, การขายและการตลาด, การผลิต, หรือการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น

ระบบ ERP แบบ Cloud (Software as a Service) หรือ On-Premise (ติดตั้งในองค์กร)

ความสามารถในการรองรับจำนวนผู้ใช้

ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งฟังก์ชันต่างๆ

2. คำนวณต้นทุนทั้งหมด (Total Cost of Ownership – TCO)

เมื่อพิจารณาราคาของระบบ ERP ควรคำนึงถึงต้นทุนทั้งหมดไม่ใช่แค่ราคาซื้อหรือค่าใบอนุญาต ซึ่งประกอบด้วย:

ค่าใบอนุญาต (License fees): ราคาที่ต้องจ่ายในการซื้อระบบ ERP หรือการสมัครใช้บริการ

ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง: รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งระบบเพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจ

ค่าอบรมและการสนับสนุน: ต้องคำนึงถึงการฝึกอบรมพนักงานและการสนับสนุนหลังการขาย

ค่าบำรุงรักษา: ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบในระยะยาว

3. เปรียบเทียบราคาและฟังก์ชัน

เมื่อได้ทราบความต้องการขององค์กรและต้นทุนทั้งหมดแล้ว ต่อไปคือการเปรียบเทียบราคาของแต่ละผู้ให้บริการ ERP ตามฟังก์ชันที่ต้องการ:

ตรวจสอบฟังก์ชันพื้นฐาน: ว่าระบบที่เสนอมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์หรือไม่ เช่น การจัดการการเงิน, บัญชี, การขาย, การจัดการสินค้าคงคลัง

พิจารณาความยืดหยุ่นและการปรับแต่งได้: ระบบ ERP ที่ดีควรสามารถปรับแต่งเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจเฉพาะขององค์กร

เปรียบเทียบความสามารถในการรองรับการขยายตัว: หากองค์กรของคุณเติบโตเร็ว ระบบ ERP ควรสามารถรองรับการขยายตัวได้

4. พิจารณาบริการหลังการขาย

การสนับสนุนหลังการขายมีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น:

บริการดูแลซอฟต์แวร์: บริษัทที่จำหน่าย ERP ควรให้บริการอัพเดตและแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

การสนับสนุนทางเทคนิค: ควรมีช่องทางการติดต่อที่สะดวกและตอบสนองเร็ว

การฝึกอบรม: ระบบที่ดีควรมีการฝึกอบรมที่ช่วยให้พนักงานสามารถใช้ระบบได้เต็มประสิทธิภาพ

5. เปรียบเทียบระยะเวลาในการคืนทุน (ROI)

การลงทุนในระบบ ERP ควรพิจารณาถึงระยะเวลาที่จะคืนทุนหรือผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ซึ่งสามารถประเมินได้จาก:

การลดต้นทุนจากการทำงานที่ไม่เป็นระเบียบหรือการใช้เวลานานในการทำงาน

ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจที่ดีขึ้น

การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในแต่ละแผนก

6. ขอคำแนะนำจากผู้ใช้งานจริง

การศึกษาจากผู้ใช้งานที่เคยใช้ระบบ ERP ที่คุณสนใจมาก่อนจะช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น ความสะดวกในการใช้งาน การสนับสนุนจากผู้ให้บริการ และประสิทธิภาพการทำงานจริง

7. ทดสอบระบบก่อนการตัดสินใจ

หากเป็นไปได้ ควรขอทดสอบการใช้งานระบบ ERP ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าเหมาะสมกับองค์กรของคุณ

สรุป:

การเปรียบเทียบราคาของระบบ ERP ไม่ใช่แค่การดูราคาค่าบริการเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงฟังก์ชันการทำงาน, ต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง, การสนับสนุนหลังการขาย และการคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรของคุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนในระบบ ERP ที่เลือก

Scroll to Top